เป็นเจ้าของธุรกิจกับ 5 สุดยอดแบรนด์ดังชั้นนำของโลก ผ่านกองทุนรวม มีโอกาสรับผลตอบแทนสูง
1. กองทุน M-META ลงทุนในบริษัท META [Facebook] (ลงทุนในหุ้น 8.14%)
ผู้นำโซเซียลมีเดียยอดนิยมที่ใหญ่ที่สุดของโลก รายได้ส่วนใหญ่มาจาการขายโฆษณา และรายได้จากแพลตฟอร์มในเครือ Meta คือ Facebook, Instagram, WhatsApp, และ Messenger รวมกันอยู่ที่ 3.27 หมื่นล้าน$ (ประมาณ1.08ล้านล้านบาท) โดยมีกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 1.58 หมื่นล้าน$ (ประมาณ 5.2แสนล้านบาท) นอกจากนั้นในส่วนของการพัฒนาโลกเสมือน (งบ R&D ของทั้งแอพ AR/VR และอุปกรณ์อย่าง Oculus รวมทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีเกี่ยวกับ metaverse) มีรายได้ 877 ล้าน$ (ประมาณ2.9แสนล้านบาท) ที่ขาดทุนจากการดำเนินการอยู่ที่ 3.3 พันล้าน$ (ประมาณ1.09แสนล้านบาท)
ที่มารายได้ tech-hangout
2. กองทุน SCBDIGI ลงทุนในบริษัท Google (ลงทุนในหุ้น 3.27%)
ผู้นำด้านเทคโนโลยีที่ทั่วโลกยอมรับ แหล่งรวมข้อมูลทุกอย่างไว้ในโลกของอินเตอร์เน็ต อยากรู้อะไรค้นหาได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล รูปภาพ หรือเว็บไซต์ต่างๆ ซึ่งมีรายได้หลักจากการโฆษณาเซิร์ชเอนจิน รวมทั้งบริการอื่นๆอย่าง Youtube, Gmail, Google Drive, Google Map, Google Chrome เป็นต้น
Alphabet บริษัทแม่ของ Google ได้เปิดเผยผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 4/2021 (ต.ค.-ธ.ค.2021) มีกำไร 2.06 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2020 ที่มีกำไร 1.52 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยมีรายได้อยู่ที่ 7.53 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 32% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2020 ที่มีรายได้ 5.68 หมื่นล้านดอลลาร์
ที่มา สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
3. กองทุน KFGTETH-A ลงทุนในบริษัท NETFLIX (ลงทุนในหุ้น 2.99%)
ผู้นำความบันเทิงระดับโลก ทั้งหนัง ซีรี่ส์ รายการต่างๆ รวมถึงการผลิตภาพยนตร์เอง ทำรายได้จากการสมัครสมาชิกแพ็กเกจ สร้างมูลค่าอย่างต่อเนื่องไม่มีหยุด
Netflix รายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 4 ปี 2021 มีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 16.0% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนเป็น 7,709 ล้านดอลลาร์ กำไรสุทธิอยู่ที่ 607 ล้านดอลลาร์ จำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้น 8.28 ล้านคน จำนวนรวมเป็น 221.84 ล้านคน
(ที่มา CNBC)
4. กองทุน K-USXNDQ-A ลงทุนในบริษัท APPLE (ลงทุนในหุ้น 11.02%)
ผู้นำแกดเจ็ตที่โด่งดังมีรายได้มูลค่ามหาศาล จากผลิตภัณฑ์ที่ครองใจคนทั่วโลก อย่าง iPhone, iPad, Macbook, Apple Watch เป็นต้น
Apple ประกาศรายได้ไตรมาส 4 ปี 2021 มีรายได้ทั้งสิ้น 83,360 ล้านดอลลาร์ส่วนกำไรอยู่ที่ 20,551 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่เคยทำได้ 12,763 ล้านดอลลาร์ และรายได้ในไตรมาสนี้สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าถึง 29%
5. กองทุน ASP-TOPBRAND ลงทุนในบริษัท STARBUCKS (ลงทุนในหุ้น 9.44%)
ผู้นำร้านกาแฟที่ไม่มีใครไม่รู้จัก มีสาขามากมายกว่า 30,000 สาขาทั่วโลก การขยายสาขาจึงทำให้มียอดขายและรายได้เติบโตเพิ่มขึ้นหลายเท่า
Starbucks รายงานรายได้สุทธิไตรมาส 4 ของปี 2564 ประมาณ 1.76 พันล้านดอลลาร์หรือ 1.49 ดอลลาร์ต่อหุ้น เพิ่มขึ้นจาก 392.6 ล้านดอลลาร์หรือ 33 เซนต์ต่อหุ้นในปีก่อนหน้า
คำเตือน
- การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า(กองทุน) เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
- ผู้ลงทุนต้องศึกษาข้อมูลของกองทุนรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายการลงทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงาน ของกองทุนรวมที่เปิดเผยไว้ในแหล่งต่าง ๆ ก่อนการตัดสินใจลงทุน
- ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
หากสนใจซื้อกองทุนดังกล่าว สามารถเปิดบัญชี และซื้อกองทุนได้ทันทีกับบลน.แอสเซนด์ เวลธ์
รายละเอียดเพิ่มเติม >> ซื้อกองทุนกับบลน.แอสเซนด์ เวลธ์
ซื้อกองทุนกับบลน. แอสเซนด์ เวลธ์ จำกัดปลอดภัยหรือไม่ (กองทุน)
กองทุนรวมโดยบลน. แอสเซนด์ เวลธ์ จำกัด คือ บริการซื้อขายกองทุนรวม ซึ่งลูกค้าสามารถเปิดบัญชีลงทุนได้ง่ายๆ ผ่านทรูมันนี่ วอลเล็ท โดยไม่ต้องใช้เอกสารให้ยุ่งยาก (Paperless) และลูกค้าสามารถซื้อ-ขาย กองทุนได้หลายบลจ. ซึ่งปลอดภัยแน่นอน เพราะเป็นบริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน(กองทุน)ที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. และกระทรวงการคลัง นอกจากนั้น ชื่อบัญชียังเป็นของลูกค้าเอง (Non Omnibus)
ข้อดีของการซื้อกองทุนผ่านบลน. แอสเซนด์ เวลธ์ จำกัด
- สามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้ทุกที ตลอด 24 ชั่วโมง และดูพอร์ตการลงทุนได้ตลอดเวลา
- ค่าธรรมเนียม ซื้อ-ขายเท่ากับซื้อตรงกับ บลจ.
- เงินจากการขายกองทุนจะเข้าที่ทรูมันนี่ วอลเล็ท