ไฮไลท์
-
ปัจจุบันการฝากเงินในธนาคารเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพอที่จะทำให้เงินออมเติบโตมาสู้กับเงินเฟ้อได้ “การลงทุน” จึงกลายเป็นทางออกสำหรับคนที่อยากมีชีวิตที่ดี มีอิสรภาพทางการเงิน ทำตามความฝันของตัวเองได้
-
ก่อนเริ่มลงทุน ต้องทำความรู้จักตัวเองและเข้าใจสิ่งที่จะลงทุนให้ดีเสียก่อน เพื่อเลือกลงทุนให้เหมาะกับตัวเอง และอยู่ในระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ก็ไม่อยากจะทำให้ “วัยรุ่นเซ็ง” หรอกนะ เพราะรู้ว่ากว่าจะเอาชนะ “ความอยาก” กว่าจะอดใจให้อดออมได้ในแต่ละเดือนก็เลือดตาแทบกระเด็น แต่สมัยนี้แค่เงินออมอย่างเดียว คงไม่พอที่จะทำให้เงินเติบโตมาสู้กับเงินเฟ้อได้ทัน เมื่ออุตส่าห์อดออมจนมี “เงินก้อนเล็ก ๆ” สักก้อน อย่าลืมคิดถึงเรื่องการลงทุน เพราะการลงทุนเป็นการต่อยอดเงินออมไปสู่ความมั่งคั่ง ดังนั้นแค่เปลี่ยนจากการออม มาเป็นลงทุนแทน ชีวิตที่มีอิสรภาพ ทำตามความฝันของตัวเองได้ก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
ก่อนจะไปเริ่มต้นลงทุนคงต้อง “ขอเสียงวัยรุ่นหน่อย… พร้อมที่จะลงทุนกันแล้วหรือยัง” ถ้าพร้อมก็มาเริ่มกันเลย!!!
รู้จักตัวเอง
เจอหัวข้อนี้ น่าจะมีเสียงค้านในใจหลายเสียงเลยว่า เกิดมาจนจะทำงานมีรายได้เป็นของตัวเองอยู่แล้ว จะมาบอกว่า “ไม่รู้จัก ไม่เข้าใจตัวเอง…เป็นไปไม่ได้” แต่เชื่อเถอะมันเป็นไปได้จริง ๆ
ถ้าไม่เชื่อ ลองถามตัวเองดูว่า ณ วันนี้ วันที่เราจะเริ่มลงทุน เรารู้หรือยังว่า เราตั้งเป้าหมายอะไรไว้สำหรับการลงทุน เพราะการมีเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญมาก การลงทุนที่มีเป้าหมายต่างกัน อาจต้องลงทุนในรูปแบบที่แตกต่างกัน เช่น การลงทุนเพื่อวัยเกษียณ จะมีรูปแบบการลงทุนเพื่อหวังผลกำไรในระยะยาว
ถ้าไม่เชื่อ ลองถามตัวเองดูว่า เรายอมรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้มากน้อยแค่ไหน เคยถามตัวเองหรือยังว่า เงิน 100 บาทที่ลงทุนไป จะยอมให้ขาดทุนได้สักกี่บาท หากบอกว่าหายไปไม่ได้แม้แต่บาทเดียว นั่นเรียกว่า “กลัวสุด ๆ” เพราะ ความเสี่ยง คือ โอกาสที่เราจะไม่ได้ผลตอบแทนจากการลงทุนตามที่คิดไว้ ซึ่งการลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง เพียงแต่จะมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป นอกจากนี้ ความเสี่ยงกับผลตอบแทนที่คาดหวังยังมีความสัมพันธ์กันด้วย ถ้าเราอยากได้ผลตอบแทนมาก ๆ ก็ต้องทำใจเอาไว้ด้วยว่า การลงทุนนั้นจะมีโอกาสขาดทุนสูงด้วยเช่นกัน แล้วกล้าไหมที่จะลอง? ถ้าไม่กล้าเสี่ยงก็ลองลดระดับ “เป้าหมาย” ลงมาสักหน่อยให้เหมาะกับความสามารถ แม้ผลตอบแทนอาจจะน้อยลงสักนิด แต่โอกาสผิดหวังก็จะน้อยลงตามไปด้วย
เข้าใจสิ่งที่จะลงทุน
เมื่อรู้จักตัวเอง รู้เป้าหมายการลงทุน และ รู้ว่าเสี่ยง…แต่ยังต้องขอลอง แล้ว ก็ต้องไปทำความรู้จักสิ่งที่เราจะลงทุนกันก่อน เพราะทุกวันนี้มีช่องทางให้เลือกลงทุนมากมาย และนับวันจะยิ่งมีให้เลือกมากขึ้น ๆ ทุกที ไม่ว่าจะเป็น การฝากเงินกับธนาคาร ประกันออมทรัพย์ สลากออมสิน ก็ถือเป็นการลงทุนเช่นเดียวกัน แต่วัยรุ่นอย่างเรา ถ้ากล้าที่จะลงทุนแล้วก็ลองมาทำความรู้จักกับสินทรัพย์ลงทุนที่มีความเสี่ยงมากหน่อย เพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนกันดีกว่า นั่นก็คือการลงทุนใน “หุ้นและกองทุนรวม”
หุ้น ถ้าก่อนหน้านี้บอกว่า ไม่เคยได้ยินคำว่า “หุ้น” หรือ “ตลาดหุ้น” ยังพอให้อภัย แต่ถ้านับจากวันนี้ไปแล้วไม่ทำความรู้จักกับหุ้นสงสัยจะมีเคือง เพราะหุ้นเป็นเครื่องมือที่ทำให้เงินลงทุนมีโอกาสงอกเงยได้มากและไม่ใช่เรื่องยาก ลองมาดูกันว่า ผลตอบแทนจากการ “ถือหุ้น” ในฐานะเป็น “เจ้าของกิจการ” จะมีอยู่ 2 ทาง คือ เงินปันผล และกำไรจากซื้อขาย
เงินปันผล (Dividend) คือ ผลตอบแทนที่จะได้รับจากการถือหุ้นเมื่อบริษัทที่เรา (มีส่วนร่วม) เป็นเจ้าของมีกำไรจากการทำธุรกิจ โดยบริษัทจะแบ่งเงินส่วนหนึ่งมาจ่ายผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละเท่า ๆ กัน ยิ่งมีหุ้นจำนวนมาก ก็จะได้ผลตอบแทนมากตามไปด้วย แต่หากบางครั้งเราเข้าไปลงทุนในบริษัทที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นธุรกิจ หรือต้องใช้เงินในการขยายธุรกิจ บริษัทก็อาจยังไม่สามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้
แต่อย่าเพิ่งตกใจไป หากเราไม่ได้รับเงินปันผล เราก็ยังสามารถทำกำไรจากการซื้อขายหุ้นได้ หรือที่เรียกว่า “ส่วนต่างราคา” (Capital Gain) ที่จะเกิดขึ้นเมื่อเราสามารถซื้อหุ้นในราคาถูกแล้วมาขายเมื่อราคาแพง หรือพูดง่าย ๆ ว่า “ซื้อถูก ขายแพง” และที่สำคัญ คือ แม้เราจะมีเงินออมอยู่เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็สามารถเริ่มต้นลงทุนในหุ้นได้ เพียงแค่ติดต่อไปที่บริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ซึ่งบางแห่งกำหนดอายุขั้นต่ำในการเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ไว้ที่อายุเพียง 20 ปีบริบูรณ์เท่านั้น และอาจเริ่มต้นด้วยการเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นแบบ Cash Balance โดยเราต้องนำเงินไปฝากไว้ที่โบรกเกอร์ และสามารถซื้อหุ้นได้ตามจำนวนเงินที่เราไปฝากเอาไว้เท่านั้น ซึ่งโบรกเกอร์หลายแห่งไม่ได้กำหนดจำนวนเงินขั้นต่ำเอาไว้ ทำให้นักลงทุนมือใหม่ที่มีเงินออมไม่กี่พันบาท ก็สามารถเริ่มต้นลงทุนได้
นอกจากนี้ คนรุ่นใหม่อย่างเรา ๆ ยังควรใช้บริการซื้อขายหุ้นผ่านอินเทอร์เน็ต เพราะสามารถส่งคำสั่งซื้อขายแค่ 100 – 200 หุ้นได้ โดยไม่ต้องอายใคร รวมถึงค่าธรรมเนียม หรือค่าคอมมิชชันสำหรับซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต ก็ต่ำกว่าการส่งคำสั่งซื้อขายผ่านผู้แนะนำการลงทุน (IC) ด้วย
กองทุนรวม เป็นการระดมเงินลงทุนจำนวนน้อย ๆ จากคนจำนวนมาก ๆ ไปรวมกัน เพื่อนำไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ตามนโยบายการลงทุนของแต่ละกองทุน และมีชื่อเรียกต่างกันไปตามนโยบายการลงทุน เช่น กองทุนรวมหุ้น กองทุนรวมตราสารหนี้ ทั้งนี้ กองทุนรวมจะมีผู้จัดการกองทุน ซึ่งถือว่าเป็น “มืออาชีพ” ด้านการลงทุน มาคอยศึกษาว่าหุ้นตัวไหนจะอนาคตดี ตราสารหนี้อะไรที่น่าสนใจ คอยติดตามสถานการณ์การลงทุน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งมีผลต่อการลงทุน และคอยซื้อขายเพื่อทำกำไรเมื่อมีจังหวะที่ดี
เมื่อมี “มืออาชีพ” มาคอยดูแลเงินของเราอย่างใกล้ชิดแบบนี้แล้ว เราก็เลยไม่ต้องกังวลกับการลงทุนมากนัก เพราะอย่างน้อย “มืออาชีพ” ก็น่าจะทำให้เรามีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่า “นักลงทุนมือใหม่” ที่มีความรู้ด้านการลงทุนแบบงู ๆ ปลา ๆ อย่างเรา
สำหรับการลงทุนในหุ้นนั้นต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์ในระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์สภาวะเศรษฐกิจโดยรวม วิเคราะห์สภาวะอุตสาหกรรมของบริษัทที่เราสนใจลงทุน และยังต้องอาศัยทักษะความรู้ในการวิเคราะห์งบการเงินต่าง ๆ เพื่อประเมินมูลค่าที่ควรจะเป็นของหุ้นในธุรกิจที่เราสนใจ ดังนั้น หากคิดว่าตัวเองมีความพร้อมที่จะลงทุนในหุ้นแล้ว ก็ลงมือศึกษาข้อมูลและเริ่มลงทุนได้เลย แต่สำหรับคนที่เป็นมือใหม่อยากเริ่มลงทุน ประสบการณ์ลงทุนน้อย ไม่มีเวลาติดตามข้อมูล และมีเงินลงทุนไม่มากนัก ก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะกองทุนรวมก็สามารถเป็นตัวช่วยพาเราไปถึงเป้าหมายได้เช่นกัน
กองทุนที่น่าสนใจ
1. KKP GNP-H
- จุดประสงค์การลงทุน เพิ่มโอกาสเติบโตของเงินลงทุนในระยะยาว ด้วยการเน้นการลงทุนในหุ้นทั่วโลก โดยจะลงทุนในกองทุนหลักคือ Capital Group New Perspective Fund
- ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินต่างประเทศไม่น้อยกว่า 90%
- ระดับความเสี่ยง 6
- ไม่จ่ายปันผล
- ลงทุนครั้งแรกขั้นต่ำ 100 บาท
2. K-GA-A(A)
- จุดประสงค์การลงทุน มุ่งหาผลตอบแทนรวมสูงสุดจากการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ อย่างเช่น ตราสารทุน ตราสารหนี้ และตราสารหนี้ระยะสั้นทั่วโลกทั้งภาครัฐและเอกชน โดยจะลงทุนในกองทุนหลักคือ BGF Global Allocation Fund
a. ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินต่างประเทศไม่น้อยกว่า 75% - ระดับความเสี่ยง 5
- ไม่จ่ายปันผล (กรณีต้องการปันผล สามารถเลือกลงทุนใน K-GA-A(D) ที่มีนโยบายจ่ายปันผล)
- ลงทุนครั้งแรกขั้นต่ำ 500 บาท
3. KFSMART
- จุดประสงค์การลงทุน เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ ตราสารหนี้ที่ออกโดยสภาบันการเงินหรือเอกชนในประเทศอันดับความน่าเชื่อถือ A- ขึ้นไป และตราสารหนี้สถาบันการเงินต่างประเทศ เหมาะสำหรับพักเงินระยะสั้นถึงปานกลาง
- ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินต่างประเทศไม่น้อยกว่า 90%
- ระดับความเสี่ยง 4
- ไม่จ่ายปันผล
ลงทุนครั้งแรกขั้นต่ำ 500 บาท
คำเตือน
- การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า(กองทุน) เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
- ผู้ลงทุนต้องศึกษาข้อมูลของกองทุนรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายการลงทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงาน ของกองทุนรวมที่เปิดเผยไว้ในแหล่งต่าง ๆ ก่อนการตัดสินใจลงทุน
- ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
หากสนใจซื้อกองทุนดังกล่าว สามารถเปิดบัญชี และซื้อกองทุนได้ทันทีกับบลน.แอสเซนด์ เวลธ์
รายละเอียดเพิ่มเติม >> ซื้อกองทุนกับบลน.แอสเซนด์ เวลธ์
ซื้อกองทุนกับบลน. แอสเซนด์ เวลธ์ จำกัดปลอดภัยหรือไม่ (กองทุน)
กองทุนรวมโดยบลน. แอสเซนด์ เวลธ์ จำกัด คือ บริการซื้อขายกองทุนรวม ซึ่งลูกค้าสามารถเปิดบัญชีลงทุนได้ง่ายๆ ผ่านทรูมันนี่ วอลเล็ท โดยไม่ต้องใช้เอกสารให้ยุ่งยาก (Paperless) และลูกค้าสามารถซื้อ-ขาย กองทุนได้หลายบลจ. ซึ่งปลอดภัยแน่นอน เพราะเป็นบริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน(กองทุน)ที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. และกระทรวงการคลัง นอกจากนั้น ชื่อบัญชียังเป็นของลูกค้าเอง (Non Omnibus)
ข้อดีของการซื้อกองทุนผ่านบลน. แอสเซนด์ เวลธ์ จำกัด
- สามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้ทุกที ตลอด 24 ชั่วโมง และดูพอร์ตการลงทุนได้ตลอดเวลา
- ค่าธรรมเนียม ซื้อ-ขายเท่ากับซื้อตรงกับ บลจ.
- เงินจากการขายกองทุนจะเข้าที่ทรูมันนี่ วอลเล็ท